( นำ) หันทะ มะยัง สะมาธิสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ
(รับ) สะมาธิง ภิกขะเว ภาเวถะ อัปปะมาณัง นิปะกา ปะติสสะตา ,
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!, เธอทั้งหลายจงมีปัญญารักษาตน,
มีสติเจริญสมาธิ, อันหาประมาณมิได้เถิด
สะมาธิง ภิกขะเว ภาวะยะตัง อัปปะมาณัง นิปะกานัง,
ปะติสสะตานัง ปัญจะ ญาณานิ ปัจจัตตัญเญวะ อุปปัชชันติ
- เมื่อเธอมีปัญญารักษาตน, มีสติเจริญสมาธิ,
อันหาประมาณมิได้อยู่, ญาณ ๕ อย่าง ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตน,
กะตะมานิ ปัญจะ - ญาณ ๕ อย่าง เป็นไฉน ?,
อะยัง สะมาธิ ปัจจุปปันนะสุโข เจวะ อายะติง จะ,
สุขะวิปาโกติ ปัจจัตตัญเญวะ ญาณัง อุปปัชชะติ
- คือญาณย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตนว่า, สมาธินี้มีสุขในปัจจุบัน, และมีสุขเป็นวิบากต่อไป
อะยัง สะมาธิ อะริโย นิรามิโสติ ปัจจัตตัญเญวะ ญาณัง อุปปัชชะติ
- ย่อมรู้เฉพาะตนว่า, สมาธินี้เป็นอริยะไม่แอบอิงอามิส
อะยัง สะมาธิ อะกาปุริสะเสวิโตติ ปัจจัตตัญเญวะ ญาณัง อุปปัชชะติ
- ย่อมรู้เฉพาะตนว่า, สมาธินี้อันคนเลวๆ ย่อมเสพไม่ได้เลย
อะยัง สะมาธิ สันโต ปะณีโต ปะฏิปัสสัทธิลัทโธ , เอโกทิภาวาธิคะโต นะ
จะ สะสังขาระนิคคัย๎หะวาริตัปปัตโตติ , ปัจจัตตัญเญวะ ญาณัง อุปปัชชะติ
- ย่อมรู้เฉพาะตนว่า, สมาธินี้เป็นของละเอียดประณีต, ได้ด้วยความสงบระงับ,
บรรลุได้ด้วยความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น, และมิใช่บรรลุได้ด้วยการข่มธรรมที่เป็นข้าศึก,
ห้ามกิเลสด้วยจิตอันเป็นสะสังขาร
โส โข ปะนาหัง อิมัง สะมาธิง สะโตวะ สะมาปัชชามิ,
สะโต วุฏฐะหามีติ ปัจจัตตัญเญวะ ญาณัง อุปปัชชะติ
- ย่อมรู้เฉพาะตนว่า, เราย่อมมีสติเข้าสมาธินี้ได้, มีสติออกจากสมาธินี้ได้
สะมาธิง ภิกขะเว ภาเวถะ อัปปะมาณัง นิปะกา ปะติสสะตา
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!, เธอทั้งหลายจงมีปัญญารักษาตน, มีสติเจริญสมาธิ, อันหาประมาณมิได้เถิด
สะมาธิง ภิกขะเว ภาวะยะตัง อัปปะมาณัง นิปะกานัง ปะติสสะตานัง
- เมื่อเธอทั้งหลายมีปัญญารักษาตน, มีสติเจริญสมาธิ, อันหาประมาณมิได้อยู่
อิมานิ ปัญจะ ญาณานิ ปัจจัตตัญเญวะ อุปัชชันตีติ ฯ
- ญาณคือความรู้แจ้งทั้ง ๕ ประการนี้แล, ย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ, ดังนี้ ฯ
(ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๒/๒๗)
ที่มา : watpamahachai.net